ถ้าพูดถึงยุคนี้คงหนี้ไม่พ้นเรื่องของโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม
คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อแอพพลิเคชั่นหรืออะไรเช่นนี้ เพราะในปัจจุบันตัวอักษรผ่านแป้นพิมพ์กลายเป็นการสื่อสารหลักแทนตัวอักษรผ่านปลายปากกาลงกระดาษ
ลองนึกดูสิว่าเราเขียนจดหมายหรือโปสการ์ดหาใครซักคนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คงนึกนานจนนึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่
ส่งให้ใคร ส่งไปที่ไหน และก็คงจำไม่ได้ด้วยว่าเราเขียนด้วยปากกาลงกระดาษนานแค่ไหนแล้ว
เมื่อมาถึงยุคที่แป้นพิมพ์มีอิทธิพลในการสื่อสารสมุดและปากกาอาจมีคุณค่ากับเด็กนักเรียนหรือกับคนที่ต้องใช้มันอย่างแท้จริง
รวมถึงการสื่อสารผ่านรูปภาพก็มีอิทธิพลไม่น้อยที่จะบอกว่าเราอยู่ที่ไหน ทำอะไร รู้สึกเช่นไร
มีรูปภาพพร้อมคำบรรยายสั้นๆที่ทำให้รู้ว่าบุคคลในรูปภาพนั้นทำอะไร อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร
และรู้สึกอย่างไร ต้องการสื่อสารอะไรกับผู้ที่พบเห็น
ถึงแม้ว่าความจริงคนอาจจะมองแค่รูปภาพโดยไม่ได้อ่านคำบรรยายเลยด้วยซ้ำ
เรามักได้ยินประโยคนี้จากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายบ่อยๆ "เมื่อเวลาหมุนไป สรรพสิ่งบนโลกก็เปลี่ยนไปตาม"
พอฟังแล้วเราย้อนคิดอะไรได้ไหมว่าก่อนหน้านี้ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตใช้เราอยู่อย่างไร
เราทำอะไรตอนที่มีเวลาว่างหลังเลิกเรียนหรือเลิกทำงาน
สองตาของเราจ้องมองอะไรแทนจอสี่เหลี่ยม เมื่อความสะดวกสบายเข้ามาแทนที่ความพยามจากที่เราเคยทำสิ่งนั้นก็จางหายไปตามกาลเวลา
ลองเปลี่ยนละสายตามามองกระดาษที่มีตัวหนังสือซึ่งเต็มไปด้วยความน่าสนใจของเราเองดูบ้าง
มันอาจทำให้ลืมโลกใบหนึ่งในจอสี่เหลี่ยมที่เราคิดว่าคุ้นเคยดูบ้าง
เราอาจพบเรื่องราวที่ไม่เคยเจอจากตัวหนังสือเหล่านั้น หรือลองเงยหน้ายิ้มและพูดคุยกับคนตรงหน้าให้มากกว่าที่จะสื่อสารกันผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมดูบ้าง
เราอาจได้รู้เรื่องที่ไม่สามารถเล่าผ่านตัวอักษรเหล่านั้นได้ เพราะตัวอักษรไม่มีอารมณ์
ไม่มีน้ำเสียง
ถึงจะมีหน้าตาก็จริงแต่ก็แตกต่างกับสิ่งที่เราพบเจอตรงหน้า สิ่งเหล่านี้ไม่ยากที่จะทำเพราะเราเองก็เคยเป็นเช่นนี้กันแล้วทั้งนั้น
บางครั้งโลกที่ไร้ซึ่งการอัพเดตและการเคลื่อนไหวก็น่าอยู่ไม่แพ้กับโลกที่เต็มไปด้วยการสื่อสารอย่างรวดเร็ว
ในการใช้ชีวิตของคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่เดินช้า เดินเร็ว และวิ่ง คงไม่มีใครวิ่งได้ตลอดเวลา
และเช่นกันก็คงไม่มีใครเดินได้ตลอด
เพราะฉะนั้นโลกที่เงียบบางครั้งก็มีไว้ให้เราได้คิดทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
ดังนั้นโลกที่มีเสียงดังและฟังแต่ความคิดของคนอื่นก็อาจจะไม่มีความสุขมากนัก
เราใช้เฟซบุคเพื่อดูการเคลื่อนไหวของใครหลายคนไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แฟน พี่ น้อง หรือแม้กระทั่งตัวเอง
ลองสังเกตดูว่าบางครั้งการที่เราคอยเฝ้าดูการมากดไลค์ของคนอื่นหรือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความหรือรูปภาพที่เราโพสต์ไปนั้นเราอาจต้องการความสนใจจากเพื่อนในโลกใบนั้นก็ได้
แต่กลับกันเราลืมไปว่าชีวิตจริงที่ไม่ได้ต้องการกดไลค์จากผู้คนมากมายนับสิบนับร้อยหรือนับพัน
เราเพียงแค่สร้างความประทับใจและทำตามหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่เดือดร้อนใครก็เพียงพอแล้ว
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นตัวอักษรไม่มีน้ำเสียงจึงทำให้การสื่อสารอาจผิดพลาดเพราะ”ก่อนพิมพ์เราคิด หลังพิมพ์คนอื่นคิด” การมีสติและไตร่ตรองก่อนการพิมพ์ก็เป็นส่วนสำคัญ
เมื่อพิมพ์ไปแล้วไม่มีน้ำยาลบคำผิดแก้มันให้ถูกต้องก่อนที่จะมีคนมาอ่านหรือเห็นข้อความ
เหล่านั้น หลายครั้งเราคงได้เห็นคนทะเลาะกันผ่านตัวอักษรกลายเป็นสงครามย่อมๆ
เพราะการพูดลอยๆผ่านตัวอักษรไม่ใช่เราคนเดียวที่สามารถตีความได้เมื่อแสดงมันสู่สาธารณะ
ตัวอักษรผ่านโลกออนไลน์มีทั้งคุณและโทษอยู่ที่เราเลือกจะใช้มันไปในทางไหน
บางคนเลือกที่จะแบ่งปันประสบการณ์การต่างๆให้กับผู้อื่นได้รู้ผ่านโลกออนไลน์เพื่อเป็นอุทาหรณ์
หรือบางคนเลือกที่จะแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆเพื่อขอความคิดเห็นจากผู้คนในโลกออนไลน์ว่าควรแก้ไขกับปัญหาหรือสิ่งที่ตนเองพบเจอนั้นอย่างไร
รูปภาพก็เช่นกันบางคนเลือกที่จะแบ่งปันรูปภาพต่างๆเพื่อบอกว่าให้คนในโลกออนไลน์หรือโลกโซเชียลของตัวเองได้รู้ว่าที่นี่น่าไปเที่ยว
ที่นี่น่าไปลองชิม ที่นี่น่าไปถ่ายรูป
ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดการได้แบ่งปันเรื่องราวผ่านตัวอักษรก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้เราได้รับรู้การใช้ชีวิตและประสบการณ์ของใครอีกหลายคนรวมถึงความเห็นจากหลากหลายมุมมอง
แต่ก็เช่นกันบางครั้งผลตอบรับจากการแบ่งปันเรื่องราวสู่โลกออนไลน์หรือโลกโซเชียลอาจไม่ได้มีแง่ดีเสมอไป
หรือไม่มันอาจกลายเป็นเรื่องผิดต่อสังคมซึ่งมาจากการตัดสินจากคนหมู่มากที่บอกกล่าวเราด้วยตัวอักษรที่มีถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่วนตัว
ซึ่งมันอาจกำลังบอกเราว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่เราคิดหรือเราทำไปหมดทุกเรื่อง
และก็ไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำไปหมดทุกเรื่องเช่นกัน
นอกจากนี้ตัวอักษรยังเป็นคลังความทรงจำของเราได้เช่นกัน
เพราะมันสามารถทำให้ระยะทางที่ห่างไกลกันกลับมาใกล้กันด้วยตัวอักษรที่เรียงร้อยความรู้สึกส่งผ่านไปยังใครอีกคนที่อยู่ไกลกัน
เพื่อบอกเล่าเรื่องราวและความทรงจำของกันและกัน ถึงแม้ว่าในยุคปัจจุบันตัวอักษรผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมจะเข้ามาแทนที่ตัวหนังสือผ่านกระดาษแต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเลือกพิมพ์และเขียนควบคู่กันไป
เพราะการเขียนก็ยังเป็นสิ่งที่น่าจดจำไม่แพ้กับความรวดเร็วที่กำหนดผ่านแป้นพิมพ์
ทุกอย่างต่างมีประโยชน์และโทษในตัวของมันเองไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรที่ผ่านแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์หรือตัวอักษรผ่านปลายปากกาต่างก็เล่าเรื่องราวมากมายในชีวิตเราที่มีทั้งสุข
ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ มิตรภาพ ความรัก การจากลา
ที่เราพบเจอมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อเป็นสิ่งเตือนว่า “เราได้ทำและคิดเช่นไรกับคนหลายคน
เรามีมุมมองเช่นไรกับโลกใบนี้ และเรามีความทรงจำกับเรื่องราวมากมายเหล่านั้นอย่างไร”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น