ณ บนรถเมล์สายหนึ่งตอนกำลังกลับบ้านจากที่ทำงานเป็นเวลาบ่ายโมงได้ ทั้งรถมีผู้โดยสารแค่ไม่ถึงสิบคนแต่ส่วนใหญ่เป็นรุ่นสูงวัยได้ เราขึ้นจากป้ายที่ทำงานด้วยการโบกรถกลางถนนคิดว่าจะไม่จอดแล้วเพราะสายนี้เป็นรถเมล์สายประชาชนที่ปกติไม่เคยง้อผู้โดยสาร อย่างที่บอกพอรู้สรรพคุณตอนอยู่บนสะพานก็วิ่งเร่งสปีดเลย แต่พอถึงกลางถนนโบกจอดให้เฉยเลย เราก็กระหืดกระหอบพอประตูรถเปิดคุณลุงคนขับก็ยิ้มและบอกกับเราว่าลุงจอดรออยู่แล้วไม่ต้องวิ่ง เราก็เลยบอก"ขอบคุณนะค่ะ"พร้อมกับยิ้ม พอเรามองขึ้นไปคุณลุงคุณป้าก็ส่งยิ้มให้ไม่รู้ยิ้มเพราะที่คุณลุงคนขับพูดหรือยิ้มที่เห็นท่าทางของเราตอนโบกรถ >\\\\< พอนั่งไปได้สักพักเราก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างมองไปที่นั่งตรงข้ามมีคุณตาคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างตั้งใจ คุณตากางหนังสือพิมพ์และยกขึ้นเข้าใกล้จ้องมองแล้วอ่านแบบขยับปากอย่างเห็นได้ชัด ตรงกันข้ามพอมองไปรอบรอบมีคนวัยหนุ่มสาวอยู่ในรถ3-4คนต่างก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือแบบไม่สนใจคนรอบข้าง มันทำให้เราฉุดคิดขึ้นได้ว่าคุณตาพยายามอ่านหนังสือทั้งๆที่ตาอาจพร่ามัวและอาจจะอ่านได้ไม่คล่องนัก ส่วนใครอีกหลายคนที่อ่านออกได้อย่างแม่นยำตามองเห็นได้ชัดเจนกลับเลือกที่จะไม่อ่านหนังสือ แต่เปลี่ยนไปอ่านตัวอักษรผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมแทน มันอาจฟังดูเป็นเรื่องปกติเพราะอาจมีคนบอกว่านี่ยุคไหนแล้วเราไม่ต้องซื้อหนังสือพิมพ์เพื่อมาอ่าน เพราะเราสามารถอ่านมันผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นบนแท๊บเล็ตหรือมือถือแบบฟรีๆเลยก็ได้ นอกจากนี้หนังสืออื่นๆก็เช่นกันเราสามารถอ่านมันผ่านวิธีดังกล่าวนี้ได้ แต่ทว่าคุณไม่มีเงินพอที่จะใช้มือถือที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตหรือมีสิ่งเหล่านี้ได้ล่ะหนังสือพิมพ์หรือหนังสือต่างๆที่วางขายจะมีค่าไหม การอ่านผ่านกระดาษสี่เหลี่ยมพื้นผ้าขนาดต่างๆมันแตกต่างกับการอ่านผ่านหน้าจอสีเหลี่ยมที่ไม่สามารถพลิกหน้ากระดาษได้ ไม่ว่าเราจะอ่านผ่านอะไรมันก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเพราะการอ่านถือเป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมในแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน หากเรามีโอกาสได้เรียน"หนังสือ"นั่นหมายความว่าอย่างน้อยเราก็ได้อ่านมันตอนที่เรายังเรียน เพราะพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของเราอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้ การได้เห็นคุณตาทำเช่นนั้นบนรถเมล์มันยังทำให้คิดได้อีกว่าตอนที่มีเวลาว่างเราทำอะไรกันเคยคิดจะหยิบจับนู่นนี่นั่นมาอ่านบ้างไหม บางคนเลือกที่จะอ่านแต่หนังสือเรียนเพื่อนำมาทดสอบความรู้ในแต่ละภาคเรียน เพราะมันดูได้นำไปใช้ประโยชน์ที่สุดเช่นนั้นหรือ ในหนังสือแต่ละวิชาก็มีเนื้อหาแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นสังคม ภาษาไทยล้วนมีแต่เรื่องราวที่จะออกสอบ หากแต่ในหนังสือเรียนไม่มีวิชาการใช้ชีวิตบอกไว้ในตำรา บางคนอาจคิดว่าอ่านทำไมหนังสือไม่ลองไปเผชิญโลกด้วยตนเองเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมคุณถึงต้องปรึกษาใครสักคนเพื่อเป็นแนวทางในเรื่องที่คุณเองไม่เคยรู้หรือหาข้อมูลก่อนไปเจอมันต่อหน้า หนังสือก็ทำหน้าที่เป็นแนวทางให้คุณได้เช่นนั้นเหมือนกันแค่กลับกันมันอาจไม่ได้มีเสียงแต่มีตัวหนังสือสีดำตัวเล็กให้ใช้ตาสัมผัสแทน มันบอกอะไรได้เยอะกว่าที่คุณคิดไว้เยอะเพราะบางเล่มอาจทำให้คุณหลงไหลจนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบที่คุณไม่เคยเจอ มันอาจช่วยต่อยอดความคิดของคุณหรืออาจมีประโยชน์ต่อคุณทั้งทางตรงและทางอ้อม หากคณลองเปิดใจหยิบหนังสือขึ้นมาซักเล่มคุณอาจลืมไปว่าพลิกมันจนถึงหน้าสุดท้ายแล้วก็ได้ หรืออาจจะให้คุณตาเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเห็นความพยายามในการอ่านเพราะในยุคของโซเชียลเน็ตเวิร์คการสื่อสารอันรวดเร็วบางครั้งอาจต้องเชื่องช้าเพื่อให้มองเห็นสิ่งอื่นที่สำคัญด้วยเช่นกัน
ณ ระหว่างทาง 🚍
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น