Singapore trip Ep.1

ฮัลโหลชาวบล๊อกเกอร์ทุกคนค่ะ 
วันนี้เราจะมาเขียนการเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ครั้งแรก
เราและผู้ร่วมทางตั้งชื่อทริปว่า "Nothing Trip"
ทริปที่ไม่มีอะไรเลยหรือง่ายๆก็คือตามใจฉัน
เราจะพยายามเล่าให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้
เพราะเราจะถือว่านี่คือไดอารี่การเดินทาง
ไดอารี่เล่มแรกที่มีผู้ร่วมทางที่ดีและมีทริปต่อไปแน่นอน
เริ่มจากเราผู้เป็นคนริเร่มทริปนี้ขึ้นมา
เพื่อฉลองการเป็น salary man ได้ผ่านช่วงทดลองงาน
เราตัดสินใจจะไปเปิดโลกกว้างด้วยประเทศใกล้ๆ
เลือกแบบไปได้สบายๆใช้เงินไม่เยอะ
เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินเองและโรงแรมเอง
เราเลือกจองไปในช่วงปลายเดือนกันยายน
เราไปกันทั้งหมด คืน 4 วันและมีการวางแผนกันคร่าวๆ
วันแรกจะเดินเที่ยวรอบๆที่พักก่อนจะไม่หนักมาก
เพราะวันต่อมาเรามีแพลนกันยาวเยียด
 วันที่ 25 กันยายน เวลาประมาณตีสามครึ่ง
พวกเราถึงสนามบินดอนเมืองเพื่อต่อแถวโหลดกระเป๋า
เราทำการเช็คอินผ่านเว็บกันเรียบร้อยจึงลดขั้นตอนและเวลาลง
ลืมบอกเลยพวกเราได้ราคาตั๋วเครื่องมาประมาณ 4,9** บาท
ซึ่งถือเป็นราคาที่น่าพอใจสำหรับพวกเรา
หลังจากเช็คอินเสร็จก็นั่งรอเวลา boarding pass กัน
ระหว่างรอก็คุยกันคร่าวๆก่อนว่าไปถึงเราจะเข้าไปเช็คอินกันเลย
ถึงเวลาแล้ว..... มุ่งหน้าสู่สิงคโปร์กันเถอะ :)))
ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงกว่าๆก็ถึงที่หมายแล้ว
ทริปนี้เรามีตัวช่วยด้วยหนังสือสองเล่ม
  
 

 เอากระเป๋าเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็มุ่งสู่รถไฟที่จะพาไปยัง Terminal2

เพื่อต่อไปยังรถไฟใต้ดินหรือ MRT นั่นเอง
พวกเราเลือกซื้อบัตรแบบ Tourist 3 days pass 
ตอนซื้อพนักงานก็บอกระยะเวลาการใช้งานและสถานที่คืนบัตร
พอได้มาแล้วก็ถึงเวลาไปเช็คอินที่โรงแรมกัน
เราถาม passenger service ว่าจากตรงนี้ไปสถานี orchard อย่างไร
และคำตอบที่ได้คือ... ฟังไม่ออกเลยซักนิดเดียว
อันที่จริงเราก็พอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษแต่เจอสำเนียงมาเลไปก็มึนเลย
พอพนักงานเห็นเรางงก็ไปหยิบแผนที่ MRTมากาง
และกากบาทบอกว่าต้องเปลี่ยนสายที่สถานีนี้และขึ้นต่อไปตรงนี้
รู้เส้นทางแล้วก็มุ่งหน้าสู่โรงแรมกันเลย
ครั้งนี้เราพักกันที่โรงแรม Concorde ถนน Orchard กัน
สำหรับเราว่าโอเคนะเพราะอยู่ติดถนน ป้ายรถเมล์และใกล้MRT
ราคาอาจจะเยอะนิดนึงแต่สะดวกสบายสำหรับมือใหม่อย่างเรา
นั่งรถไฟมาเปลี่ยนสายจากสีเขียวเป็นสีแดงก็นั่งยาวมา
ถึงสถานี Orchard แล้ว เดินตามทางออกมาก็มาโผ่ลป้ายรถเมล์
และพวกเราก็เกิดอาการมึนงงว่าโรงแรมเนี้ยมันไปทางไหน
หันมองหน้าทำไงดีจะถามคนแถวนี้เขาจะรู้ไหม 
สุดท้ายตัดสินใจว่ารถเมล์มาจอดเราจะถามเขาว่าผ่านไหม
และแผนนี้ก็เวิร์คมากเราขึ้นรถเมล์มาลงป้ายหน้าโรงแรม
ต้องขอบคุณลุงโชเฟอร์ที่บอกและผู้ร่วมทางที่สังเกตได้ดี
ถึงโรงแรมเราพวกเราก็ไม่รอช้าที่จะเช็คอินกัน
และยังคงโดนรัวภาษาอังกฤษอย่างตอนเนื่องแบบมึนอึนอยู่
แต่ก็เช็คอินและได้ขึ้นห้องไปพักกันอย่างสบายใจ
เพราะอย่างน้อยเราก็ถึงที่พักกันแล้วววววว

หน้าตาโรงแรมและห้องพักของพวกเรา

รื้อของจากกระเป๋าเตรียมสำภาระและล้างหน้าล้างตา
.........................................................................
พวกเราเตรียมตัวจะออกไปหาอะไรกินกัน
ซึ่งเป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว พวกเราหิวกันมาก
และบอกกันว่าถ้าเจออะไรก็จะกินกันเลย
เดินกันไปเรื่อยก็ยังตัดสินใจว่าจะกินอะไรไม่ได้ซักที
เดินมาถึงห้างหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้แล้วพวกเราก็ตัดสินใจกินร้านนี้
ร้านเบอร์เกอร์ที่หน้าตาน่ากิน รวมค่าอาหารประมาณ 20ดอลนิดๆ
หรือประมาณห้าร้อยกว่าบาท แพงมากค่ะมื้อแรก
แต่ว่าหิวแบบไม่ไหวแล้วก็ต้องกินเอาแรงเดินต่อ



เบอร์เกอร์ เฟรนฟราย์ และไก่ทอด รวมถึงเครื่องดื่ม
หลังจากท้องอิ่มแล้วเราก็เดินช้อปตะลุยห้างรอบ Orchard กันเลย

ระหว่างทางก็ข้ามถนนไปห้างนู้นออกห้างนี้กัน


จังหวะเราไปเจอควันพอดีแต่โชคดีที่ไม่มากนัก
เดินไปก็แวะกินไอติมกันหน่อย


อ้าาาาาาา กินบ้างสิ >~< 
......................................................................... 
เรื่องกินยังไม่หมดแค่นี้นะบอกเลย
เดินกันจนเมื่อยเราก็เปิดตำราหาของกินแถวนี้
และก็ตกลงกันว่าจะไปกินร้าน Kopitiam Killiney Rd,
ถ้าไม่หลงก็ไม่ใช่สไตล์เรานะ หลงกันไป ถามทางจนเจอ
ถึงแล้วก็ไม่รอช้า ดูเมนูเดินไปสั่งกันเลย


เมนูแรกคือหมี่อะไรสักอย่างที่สีและกลิ่นแบบเครื่องเทศสุด

ส่วนอันนี้ก็แนวแกงมัสสมั่นบ้านเรากับขนมปัง


ส่วนเครื่องดื่มก็น้ำเต้าหู้ใส่เฉาก๋วย

และก็ชาแบบออริจินัลสุด
.........................................................................................
หลังจากกินกันเสร็จก็กลับโรงแรมและหมดไปหนึ่งวัน
ยังเหลืออีกสามวันกับการผจญภัยในต่างแดนของสองเรา
มีภาพบรรยากาศเล็กๆน้อยมาฝากด้วย ~~~
เหมือนศูนย์อาหารกลางแจ้งที่อยู่ใกล้โรงแรม

เดินมาอีกนิดก็มีสตาร์บัคด้วย 




ตรอก Emerald



ขอบคุณที่อ่านการบรรยายของเรา แนะนำให้รออ่านให้ครบสี่วัน
เดียร์ :) 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น