ไดอารี่"ความรู้สึก"




เราโชคดีที่ระหว่างทางเดินได้พบเจอมิตรภาพที่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าเราคิดหรือทำอะไรจะมีคนคอยช่วยคิดช่วยทำเสมอมา วันเวลาผ่านมานานจนเรียกคำนี้ได้แบบไม่ต้องหวั่นอะไร คำคำนั้นคือ"เพื่อนแท้" 10 ปีมันนานพอที่จะบอกได้ว่าเราผ่านอะไรมาด้วยกันมากพอจริงๆ เมื่อพบเจอกันเรามีเรื่องเล่าและเรื่องให้นึกถึงมากพอแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันเป็นสิบวันก็คงไม่หมด ช่วงชีวิตของเราจะไม่สมบูรณ์เลยได้ไม่เจอมิตรภาพจากใครคนนึงคนนี้ แม้ว่าเราจะแยกกันตอนมหาลัยอาจไม่ได้คุยกันบ่อยเจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้ซักนิดเดียวจริงๆ ขอบคุณที่คอยช่วยคิดคอยช่วยบอกช่วยเตือนและให้กำลังใจกับสิ่งที่เรากำลังคิดหรือกำลังทำอยู่เสมอมา แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุดก็พร้อมที่จะฟังและเข้าใจเราตลอดมา เอาจริงอายนะแต่แบบอยากให้อ่านข้อความจากไดอารี่ความรู้สึกของเราเอง ไม่รู้เราจะมีโอกาสได้พูดหรือเอาให้อ่านตอนไหนเลยรีบบอกไว้ก่อนล่ะกัน ไดอารี่ความรู้สึกนี้เล่าถึงเพื่อนสามคนที่เรารู้สึกรักและสนิทใจตลอดมา ในชีวิตเรามีเพื่อนที่มันพูดได้ว่ารู้จักเราดีพอคงมีแค่สามคนนี้แหละมั้ง

เริ่มที่คนแรกก่อนล่ะกันเพื่อนคนนี้จำไม่ได้ว่ารู้จักกันยังไงเลยด้วยซ้ำ พอรู้ตัวอีกทีก็สนิทกับมันไปแล้ว เรากับมันแตกต่างกันมากสิ่งแรกเลยคือรูปร่าง.... เพื่อนคนนี้ชื่อ หวานหรือน้ำหวาน ขอใช้สรรพนามว่า มัันล่ะกันนะ มันตัวเล็กๆไม่สิตัวเตี้ยๆเป็นบุคคลฉบับพกพา เราสองคนแตกต่างกันหลายอย่างมากบรรยายคงไม่หมดแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเรามักจะเชื่อใจกันที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตของกันแหละไม่ว่าจะเรื่องรัก เรื่องเรียน เรื่องครอบครัว และเม้าท์แบบบ้านพังกันเลยทีเดียว มีครั้งนึงที่มันโทรมาเพื่อจะร้องไห้และบอกกับเราว่า "กูไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น มึงก็รู้ว่ากูเป็นยังไง" นั่นหมายความว่ามันไว้ใจที่จะร้องไห้กับเราเพียงคนเดียวหรึเปล่า ? แต่เราคิดว่ามันคือการที่เราจะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่พยายามแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเข้มแข็ง ถึงแม้เรื่องราวที่มันเล่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่เราเข้าใจถึงความรู้สึกที่สะเทือนใจของมัน เช่นกันเวลาที่เราเล่าเรื่องอะไรก็ตามมันก็คอยฟังตลอดทั้งหัวเราะและร้องไห้ เราดีใจที่ได้ยินแบบนั้น เราเรียนคนละห้องกันตอนมอต้น เราเรียนคนละสายกันตอนมอปลาย และเราก็เรียนคนละคณะคนละมหาลัย เราพูดได้เลยว่าเพื่อนคนนี้กว่าจะเจอกันทีคือต้องเวลาเหมาะเจาะจริงๆ เราให้นิยามเพื่อนคนนี้ว่า "เพื่อนของเวลา" เพราะเวลาของเราคือการระบายใจและความรู้สึกต่อกัน

เพื่อนคนที่สอง คนนี้ชื่อว่า ปุ๋ย แต่เรามักเรียกมันว่า แป ซึ่งแปลว่ายางแบนในภาษาอีสาน มันมักจะบ่นเสมอเวลาเรียกชื่อในที่สาธารณะ นึกถึงวีรกรรมแต่ละอย่างของมันเนี้ยหัวเราะและยิ้มจนแก้มปริเลยแหละ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจหรือไม่ตั้งใจแต่ละความทรงจำที่นึกถึงมันนี่ตลกทั้งนั้น เพื่อนคนนี้เราอยู่ห้องเดียวกันจนจบมอปลายอยู่กลุ่มเดียวกันตอนมอปลาย แต่มาสนิทกันสุดก็ตอนมหาลัยเนี้ยแหละ มันเนี้ยสุดยอดของความทึกเลยนะจะบอกให้ คือบอกก่อนเวลาเราจะไปไหนมักจะชวนมันไปเป็นเพื่อนตลอดคือเอาจริงเรารู้นะว่าเพื่อนก็ไม่ได้จะชอบแบบเดียวกับเราหรอก เอาจริงก็เพราะเป็นมันนั่นแหละเลยกล้าชวนไปไหนมาไหนด้วยตลอด เราเรียนมหาลัยคนละที่กันแต่ว่าย่านเดียวกันก็นะเมื่อมันเป็นเช่นนี้ก็เลยเจอกันบ่อย มันมักจะไปดูหนังฟังเพลงกินข้าวทำอะไรเรื่อยเปื่อยกับเราตลอด ทุกครั้งที่ไปมันมักจะพูดตลอดว่า "ถ้าเขาไม่ได้อยู่กับแกคงไม่ได้ไปไหน ไม่ได้กินอะไรแบบนี้ คงไม่รู้อะไรแบบนี้" เราดีใจที่ได้ยินมันพูดแบบนี้นะอย่างน้อยการใช้เวลาร่วมกันของเราก็มีค่าที่มันดูได้เรียนรู้อะไรจากเราไปบ้าง มันมักจะแย่งเราพูดไม่ทันเพราะฉะนั้นมันเลยเป็นเพื่อนผู้ฟังที่ีดีและคอยมีเรื่องตลกให้เราอมยิ้มเสมอ เราให้นิยามเพื่อนคนนี้ว่า "เพื่อนขาลุย" เพราะคงไม่มีใครอดทนกับเราได้ขนาดมันแล้วแหละ อ่อๆอีกนิดนึงและมันมักจะได้เห็นมุมงี่เง่าและเด็กน้อยของเราเสมอ มันเคยพูดว่า "ใครหลายคนคงคิดว่าแกดูเป็นผู้ใหญ่ แต่กับเขาแกเหมือนเด็กน้อย" เพื่อนอีกคนที่เราเป็นตัวเองเสมอ

เพื่อนคนสุดท้าย เพื่อนคนนี้ชื่อ เจิน เพื่อนๆมักเรียกกันว่า เจินเจ้ย ชื่อของมันเหมือนเพื่อนสมัยประถมที่เราไม่ชอบหน้าด้วย เราเคยบอกมันนะแต่แบบมันนิสัยแตกต่างราวฟ้ากับเหว เพื่อนคนนี้คือเพื่อนที่เราคอยขอบคุณน้ำใจเสมอ พวกเราอยู่กลุ่มเดียวกันและห้องเดียวกันจนจบมอปลาย เราสองคนแตกต่างกันในเรื่องของรูปร่างมากมันขาวและผอมบาง หลายคนก็เรียกว่าคู่หูอ้วนผอมหรือขาวดำบ้างล่ะ เราจำได้เสมอตอนกลางวันพอกินข้าวเสร็จต้องกินขนมกันคือมันกินเก่งมากขนมเต็มโต๊ะตลอดแต่ไม่เห็นจะอ้วน เราจะมีเรื่องคุยกันนุ้งนิ้งกันเสมอ เราคุยกันทุกเรื่องเลยแม้ว่าอาจจะไม่ค่อยได้ปรึกษาปัญหาชีวิตกับมัน แต่แค่เห็นหน้าเพื่อนคนนี้จะรู้ทันทีว่าเรากำลังอยู่ในโหมดไหน และนอกจากนั้นมันจะรู้ได้ตลอดว่าตอนไหนเราจะอยากพูดและไม่อยากพูด บอกเลยว่ายิ่งกว่าอับดุลย์นะเออ เพื่อนคนนี้คือคนที่อยู่เบื้องหลังความคิดความฝันของเราตลอด ไม่ว่าเราคิดเราทำอะไรมันจะคอยเป็นเพื่อนคู่คิดเสมอและให้คำแนะนำซึ่งมีค่ากับเราตลอด ทุกวันนี้มันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่แม้เราจะไม่ได้เดินไปซื้อไอติมด้วยกันแล้วหรือเราอาจจะคุยกันน้อยลง แต่เมื่อไหร่ที่คุยกันเรื่องนุ้งนิ้งของเราก็ยังไม่เคยจางหาย เราให้นิยามเพื่อนคนนี้ว่า "เพื่อนคู่คิด" คนนี้คงต้องบอกคำนี้้เลย ขอบคุณที่มองเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันมีค่าและขอบคุณที่ช่วยคิดในทุกเรื่องจริงๆ :))


Deary :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น